สำหรับผู้ที่ไม่เคยรู้จัก " ปราสาทเมืองสิงห์ " มาก่อน
ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนาม คงชวนให้เข้าใจว่า โบราณสถานดังกล่าว
อาจตั้งอยู่ที่จังหวัดสิงห์บุรี แต่แท้จริงแล้ว ปราสาทเมืองสิงห์ บ้างเรียกสั้นๆ
ว่า "เมืองสิงห์" หรือชื่อเรียกเป็นทางการ คือ "อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์" นั้น อยู่ในตำบลสิงห์
อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี
ปราสาทเมืองสิงห์
มีจุดมุ่งหมายสร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธศาสนสถานในพุทธศาสนา นิกายมหายาน จากการขุดตกแต่งของกรมศิลปากรที่ค่อยทำค่อยไปตั้งแต่ พ.ศ. 2478 แต่มาเริ่มบุกเบิกกันจริงจังเมื่อ พ.ศ. 2517 แล้วเสร็จเป็นอุทยานประวัติศาสตร์เมื่อ พ.ศ. 2530 จึงสวยงามดังที่เห็นอยู่ในวันนี้
ปราสาทเมืองสิงห์นี้กล่าวว่าสถาปัตยกรรม และปฏิมากรรม คล้ายคลึงกับของสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ. 1720 - 1780) กษัตริย์นักสร้างปราสาทแห่งขอม
จากการขุดแต่งของกรมศิลปากร พบศิลปกรรมที่สำคัญยิ่งคือพระพุทธรูปนาคปรก พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และ นางปรัชญาปารมิตา และยังพบรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่งรัศมีอีกองค์หนึ่ง
รูปลักษณ์คล้ายกับที่พบในประเทศกัมพูชา
ปัจจุบันกรมศิลปากรได้นำไปเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร แล้ว คงเหลือแต่องค์จำลองไว้ จากศิลาจารึกปราสาทพระขรรค์ เมืองพระนคร ประเทศกัมพูชา ซึ่งจารึกโดย พระวีรกุมาร พระราชโอรสของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีข้อความสรรเสริญความกล้าหาญ
และการบุญกุศลของพระเจ้า ชัยวรมัน ที่ 7 ทั้งนี้มีตอนหนึ่ง
กล่าวถึงชื่อเมืองต่างๆ 6 เมือง
ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นเมืองในภาคกลางของไทย ได้แก่ ลโวทยะปุระ สุวรรณปุระ
ศัมพูกะปัฏฏนะ ชัยราชบุรี ศรีชัยสิงห์บุรี และศรีชัยวัชรบุรี ซึ่งเข้าใจกันว่า
เมืองศรีชัยสิงห์บุรี ก็คือ เมืองสิงห์ ที่ตั้งของปราสาทเมืองสิงห์
ในจังหวัดกาญจนบุรีนั่นเอง และยังมีชื่อของเมือง ละโวธยปุระ หรือ ละโว้ หรือลพบุรี ที่มีพระปรางค์สามยอด เป็นโบราณวัตถุร่วมสมัย
แต่ในเรื่องดังกล่าวรองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม เห็นว่าการที่นำเอาชื่อเมืองที่คล้ายคลึงกันในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาไปเปรียบเทียบกับบรรดาเมืองในเส้นทางคมนาคมในจารึกปราสาทพระขรรค์อย่างง่ายๆ
โดยไม่คำนึงถึงหลักภูมิศาสตร์ เท่ากับเป็นการบิดเบือนความจริงอย่างมักง่าย เพราะบรรดาปราสาทขอมที่เรียกว่าอโรคยาศาลนั้นมักพบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (มีพบบ้างในบางส่วนของจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งปัจจุบันได้แยกเป็นจังหวัดสระแก้ว) และมีรูปแบบแตกต่างจากปราสาทขอมที่พบในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างสิ้นเชิง ตรงข้ามกับบรรดาปราสาทของที่พบบนเส้นทางคมนาคมจากละโว้ถึงเพชรบุรีและปราสาทเมืองสิงห์
แต่ละแห่งก็มีรูปแบบที่แตกต่างออกไป จะมีความคล้ายคลึงกันแต่รูปเคารพพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และนางปรัชญาปารมิตาที่บ่งชี้ว่าน่าจะแพร่หลายมาจากเมืองละโว้
และพระโพธิสัตว์บางองค์นำมาจากเมืองพระนครก็มี แต่หลักฐานทั้งหมดก็มิได้ปฏิเสธความสัมพันธ์ทั้งสังคมและวัฒนธรรมระหว่างละโว้กับเมืองพระนครในกัมพูชา ในสมัยรัชกาลที่ 1 เมืองสิงห์เป็นเมืองหน้าด่าน รัชกาลที่ 4 โปรดให้เจ้าเมืองสิงห์เป็น
พระสมิงสิงห์บุรินทร์ แต่สมัยรัชกาลที่ 5 เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล จึงยุบเมืองสิงห์เหลือแค่ตำบล
ด้วยทำเลที่ตั้งเมืองสิงห์
อยู่บนพื้นที่ราบริมฝั่งแม่น้ำแควน้อย และมีเทือกเขาล้อมรอบ
ทำให้พื้นที่ลาดเทลงมาทางลำน้ำแควน้อย
จึงเป็นผลดีให้ดินบริเวณนั้นมีความอุดมสมบูรณ์มาก และเหมาะต่อการทำเกษตรกรรม ขณะที่ร่องรอยทางประวัติศาสตร์
ทำให้นักโบราณคดีพบว่า ตัวเมืองสิงห์เป็นเมืองรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
มีพื้นที่ราว 1 ตารางกิโลเมตร มีคูเมือง คันดิน และกำแพงเมืองศิลาแลงล้อมรอบ
ที่ตำแหน่งกลางเมืองมีโบราณสถานทรงปราสาทสร้างขึ้นตามลักษณะศิลปะขอมแบบบายน
นอกจากนี้
นักโบราณคดียังขุดค้นพบหลุมฝังศพมนุษย์และเครื่องมือเครื่องใช้ ฝังร่วมกับศพ
จากบริเวณริมแม่น้ำแควน้อย นอกกำแพงเมืองสิงห์ด้านทิศใต้
โดยลักษณะที่พบคล้ายคลึงกับหลุมฝังศพที่บ้านดอนตาเพชร อำเภอพนมทวน
จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งถูกกำหนดอายุอยู่ในตอนปลายยุคโลหะ สมัยก่อนประวัติศาสตร์
มีอายุราว 2,000 ปี
สมัยต่อมาจึงเป็นช่วงที่มีการสร้างเมืองสิงห์ ดังหลักฐานปรากฏจำนวนมาก
จากความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ทำให้เมืองสิงห์มีพัฒนาการทางวัฒนธรรมมาเป็นเวลานานตามที่มีปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีจำนวนไม่น้อย
โดยเฉพาะโบราณวัตถุ สามารถกำหนดอายุได้ว่า เมืองสิงห์และตัวปราสาท
น่าจะสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 18 หรือตรงกับรัชสมัยของ
พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ของกัมพูชา ตามปรากฏหลักศิลาจารึก ยังมีอีกแนวความคิดเกี่ยวกับที่มาของเมืองสิงห์
ที่เชื่อว่า น่าจะเป็นการก่อสร้างเลียนแบบปราสาทขอม
สมัยหลังรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และไม่น่าจะเกี่ยวข้องอันใดกับชื่อเมืองศรีชัยสิงห์บุรี
หรือศรีชัยสิงห์บุรี ในจารึกเนื่องจากเห็นว่า
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมขาดความสมดุล และความลงตัว
อีกทั้งเกิดความคลาดเคลื่อนในการวางตำแหน่งอาคาร
ตลอดจนจารึกที่ฐานหินทรายรองรับประติมากรรมเป็นตัวอักษรและภาษาขอมสมัยหลังเมืองพระนคร
หรือหลังจากรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 รวมทั้งชื่อเมืองสิงห์
ไม่เคยปรากฏในหลักฐานประวัติศาสตร์ใด ก่อนรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
(รัชกาลที่ 1) แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของเมืองสิงห์ยังปรากฏเป็นตำนานจากคำบอกเล่าของชาวพื้นเมืองว่า
ท้าวอู่ทอง หนีภัยจากท้าวเวชสุวรรณโณ แล้วไปสร้างเมืองหลบซ่อนตามที่ต่างๆ
โดยชื่อเมืองจะอธิบายโบราณสถานแห่งนั้นตามแนวคิดของตนกับสิ่งที่พบเห็น เช่น การตั้งชื่อเมืองว่า กลอนโด่
เพราะสภาพโบราณสถานเหลือเพียงซาก เนื่องจากผู้เล่าเห็นว่า เป็นกลอนประตูทิ้งอยู่
ดังนั้น เมืองครุฑและเมืองสิงห์ก็น่าจะเป็นประสบการณ์ของผู้เล่าที่พบรูปครุฑ
และรูปสิงห์ถูกทิ้งร้างอยู่ที่โบราณสถานแห่งนั้น แม้ที่มาของเมืองสิงห์จะมีถึง 3 แนวคิด
แต่การทำงานของนักโบราณคดี สามารถสรุปลักษณะของเมืองสิงห์ได้ว่า
มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีเนื้อที่ 641 ไร่ 1
งาน 65 ตารางวา กำแพงเมืองก่อด้วยศิลาแลง
ขนาดกว้าง 88 เมตร ส่วนแนวด้านเหนือถึงใต้ ยาวจรดแม่น้ำ 1,400
เมตร ตัวกำแพงสูง 7 เมตร มีประตูทางเข้า-ออก 4
ด้าน
ผู้ที่สนใจเทียวชมร่องรอยประวัติศาสตร์ของเมืองสิงห์
เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-16.30 น. ค่าเข้าชมสำหรับชาวไทย 10
บาท ชาวต่างประเทศ 40 บาท สอบถามเพิ่มเติมโดยตรงได้กับอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์
034-528456-7.
ปราสาทเมืองสิงห์
Reviewed by Supakorn.farm
on
สิงหาคม 14, 2556
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: