Ancient City We Sali
เมืองนี้มีชื่อเรียกกันมาว่า “เมืองไพสาลี” บัดนี้เป็นเมืองร้าง
จากคำบอกเล่าของท่านผู้เฒ่าผู้แก่ได้กล่าวว่าเมืองไพสาลีนี้เคยเป็นเมือง
หน้าด่านเล็กๆ ของกรุงละโว้
ในสมัยที่ขอมยังมีอำนาจอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิแห่นี้
สังเกตได้จากซากวัตถุโบราณเช่นพระปรางหอสมุดและพระพุทธปฏิมากร
ทั้งที่แกะสลักด้วยหินหรือหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์มีลักษณะแสดงให้เห็นว่าเป็น
ฝีมือของขอมโบราณเป็นส่วนมาก
ซึ่งเป็นขอมในสมัยนั้นได้รับอารยธรรมมาจากอินเดีย
และขอมก็ได้เคยเป็นเจ้าเป็นใหญ่ในดินแดนส่วนนี้มาก่อน
ดังที่ครั้งหนึ่งมีหลักฐานในประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า เมื่อ
ราว พ.ศ.๖๐๐ มีพราหมณ์หัวหน้าชาวอินเดียมาได้อภิเษกกับนางพระยาขอม
แต่นั้นมาชาวอินเดียก็มีอิทธิพลเหนือขอมในด้านอารยธรรมตลอดกระทั่งศิลปวิทยา
เมื่อ พ.ศ.๑๑๐๐ ถึง พ.ศ.๑๔๐๐
ขอมได้มีอำนาจและเจริญรุ่งเรืองในแหลมสุวรรณภูมินี้
ตลอดทั้งในเขตแคว้นโคตรบูร แคว้นโยนก
และแคว้นทวาราวดีได้ตกอยู่ในอำนาจของขอมทั้ง ๓ แคว้น
มีกรุงละโว้(ลพบุรี)เป็นราชธานีภาคกลาง
เมือง
ไพสาลีนี้จึงได้สร้างขึ้นในสมัยนั้น
มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับกรุงสยาม(สุโขทัย) นครโยนก
เมืองสระหลวงหรือโอฆบุรี(พิจิตร) และเมืองศรีเทพ
ซึ่งเมืองเหล่านี้ล้วนสร้างขึ้นไว้เป็นเมืองหน้าด่านของกรุงละโว้ทั้งนั้น
เฉพาะเมืองศรีเทพที่กล่าวถึงนี้ก็เป็นเมืองที่ขอมได้สร้างขึ้น
ในปัจจุบันนี้เป็นเมืองร้างมีวัตถุโบราณปรักหักพังเกลื่อนกลาดอยู่เช่นเดียว
กัน
ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ห่างจากอำเภอวิเชียรบุรีไปทางทิศตะวันออก
ประมาณ ๖๐
กิโลเมตรมีขนาดตัวเมืองและอายุเวลาที่สร้างใกล้เคียงกันกับเมืองไพสาลีนี้
มาก
และจำนวนเมืองหน้าด่านเหล่านี้ทางกรุงละโว้ก็ได้ส่งเจ้าเมืองชั้นลูกหลวง
มาปกครองดูแลรักษาอยู่เรียกว่าเมืองรักษาด่านหรือเมืองหน้าด่าน
ครั้นต่อมาในพ.ศ.๑๗๘๑
ไทยเข้าตีอาณาจักรสุโขทัย...ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของขอมอีกแห่งหนึ่งได้
ไทยก็ขยายอาณาเขตต่อไปโดยเที่ยวปราบปรามบ้านเล็กเมืองน้อยในตอนใต้ๆลงมาให้
ตกอยู่ในอำนาจของไทย เช่น เมืองศรีสัชนาลัย(สวรรคโลก)
เมืองชากังลาว(กำแพงเพชร) เมืองสระหลวงหรือโอฆบุรี(พิจิตร)
ตลอดมาถึงเมืองไพสาลีในแคว้นไตรตรึง(นครสวรรค์) เหล่านี้เป็นต้น
เจ้าผู้ครองในสมัยนั้นมีตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองหน้าด่านชั้นลูกหลวง
ได้สู้รบทำศึกกับไทยเป็นสามารถดังมีนามยุทธภูมิอยู่ที่ทุ่งนาโบราณหรือที่
เรียกว่า ”ทุ่งนาขอม” ปรากฏอยู่กระทั่งปัจจุบันนี้
”ทุ่ง
นาขอม”
สนามรบแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองไพสาลีไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ประมาณ ๑๒ กิโลเมตร ผลแห่งการทำสงครามป้องกันเมือง
ฝ่ายเจ้าเมืองไพสาลีเป็นฝ่ายปราชัยแก่ไทย
ทำให้ราษฎรพสกนิกรชาวเขมรล้มตายลงในที่รบเป็นจำนวนมาก
ที่เหลืออยู่ก็ได้อพยพหนีกระเจิดกระเจิงออกจากเมือง ไพสาลีไป
ทรัพย์สมบัติที่ขนไปไม่ได้ก็ได้ขุดหลุมฝั่งซ่อนไว้ในดิน
ดังที่มีผู้ขุดพบวัตถุโบราณแปลกๆในสมัยต่อๆมา
นับแต่นั้นมาเมืองไพสาลีนี้ก็เป็นเมืองร้าง
ไม่มีผู้ใดจะเอาใจใส่ดูแล..เมืองไพสาลีคงเป็นเมืองร้างมาประมาณร่วม ๔๐๐ ปี ลุ
ถึงพ.ศ.๒๑๙๙ รัชสมัยสมเด็จพระนารายมหาราช
ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชนี้
ญวนกับไทยก็เริ่มชิงอำนาจกันขึ้นในเมืองเขมร นับตั้งแต่ พ.ศ.๒๒๑๖ เป็นต้นมา
ไทยต้องยกทัพไปปราบปรามจนถึงเมืองเขมร
และอีกหนึ่งไทยก็ต้องพะว้าพะวังทำศึกติดพันกันกับไทยในแคว้นลาน
นา(เชียงใหม่) ซึ่งในขณะนั้นตกไปเป็นเมืองขึ้นของพม่าอยู่
พระองค์ทรงดำริเห็นว่าหัวเมืองฝ่ายเหนือยังไม่สงบราบคาบลงได้ง่ายๆ
เพราะมีพม่าคอยกีดกันและคอยหนุนหลังให้
ไทยในภาคเหนือเข้าสวามิภักดิ์ต่อพม่าเสมอมา
พระองค์จึงคิดจะบูรณะซ่อมแซมเมืองร้างเก่าๆที่อยู่ใกล้ๆบริเวณแคว้นลานนาลง
มา โดยปฏิสังขรณ์และสถาปนาให้มีเจ้าเมืองฝ่ายไทยไปปกครองรักษาอยู่
เป็นการคุมเชิงและป้องกันข้าศึกทางฝ่ายเหนือไว้
ฉะนั้นแล้วจึงโปรดให้เกณฑ์ชาวเมืองลพบุรี สิงห์บุรี ชัยนาท
และชาวเมืองบ้านเขาแก้วพยุหะคีรี
ในเขตจังหวัดนครสวรรค์เดินทางมาเพื่อบูรณะเมืองเก่าๆจนกระทั่งมาถึงเมืองไพ
สาลีนี้
เมื่อมาเห็นแค้วนเมืองไพสาลีนี้มีทำเลเหมาะโดยเป็นที่ราบลุ่มทำนาข้าวได้
ผลดีตลอด ทั้งมีลำห้วยลำคลองมีน้ำไหลผ่านอุดมสมบูรณ์
และเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ติดต่อกับเมืองลาด(เพชรบูรณ์) ทางทิศตะวันออก
ติดต่อเมืองไตรตรึง(นครสวรรค์)ทางทิศตะวันตก และเป็นเขตติดต่อกับลพบุรี
ทางทิศใต้เหมาะแก่การที่จะตั้งกองรักษาด่านป้องกันข้าศึกทางฝ่ายล้านนาได้ดี
มาก
จึงตกลงจะสร้างเมืองไพสาลีนี้ให้ถาวรต่อไป ในขบวนกองเกณฑ์ที่เดินทางมานี้
มีทั้งเดินทางบกและทางเรือใช้เรือเป็นยานพาหนะบรรทุกเสบียงอาหาร
และสิ่งของที่จะใช้ในการก่อสร้างตัวเมืองมาพร้อมกัน
โดยอาศัยลำห้วยลำคลองในสมัยนั้นใช้เป็นแนวทางที่จะนำเรือเป็นพาหนะขึ้นล่อง
ได้สะดวก
ไม่ตื้นเขินเหมือนอย่างสมัยนี้พอขบวนเรือและขบวนกองเกณฑ์เดินเท้ามาถึงบ้าน
เสาธงชัย(คือบ้านสำโรงชัยในปัจจุบัน)
น้ำในลำคลองยิ่งไหลเชี่ยวและบางตอนก็มีน้ำลึกมาก
บางแห่งมีน้ำไหลโกรกน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
ในฤดูนาน้ำในลำคลองนี้ไหลเชี่ยวตลอดทั้งฤดู
ส่วนในฤดูแล้งบางตอนน้ำก็แห้งจะมีน้ำขังอยู่บางตอนส่วนที่ลึกๆ
ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ”วัง” ดังมีชื่อเรียกกันอยู่กระทั่งทุกวันนี้ เช่น
วังเตียน วังตาสุก เหมืองเรือ วังสำโรง คลองรัก วังทอง วังดาษ วังกรด
วังช้างข้าม วังตะหลุก วังตาเถียร วังมะเดื่อ วังข่อย
พอถึงวังห้วยใหญ่ก็แยกเป็นลำน้ำสองสาย
สายหนึ่งแยกเข้าสู่วังล้อมได้มาจอดเรือรวมกันอยู่ที่อู่เรือดังปรากฏชื่อ
เรียกกันว่า ”อู่เรือ” ติดปากชาวบ้านอยู่กระทั่งทุกวันนี้
สายหนึ่งขึ้นสู่ทิศตะวันออกไปบ้านวังกระโดนบ้านตะคร้อในปัจจุบัน
เมื่อพิจารณาหลักฐานทั้ง
จากหลักฐานทางโบราณคดีที่มีการขุดค้นพบของกรมศิลปากร จากเรื่องราวที่
ครูบุญมี ศรีอุทิศ ได้จดบันทึกไว้ และจากเรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของ
นางสุรางคนา สันนิษฐานว่า
ในอดีตชาตินางสุรางคนาอาจจะเคยมีชีวิตอยู่ในสมัยของอาณาจักรทวาราวดี
คือประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๔
เมื่อครั้งที่ขอมหรือเขมรยังเรืองอำนาจอยู่ในดินแดนแถบนี้
และจากการที่เธอบอกว่า เธอชื่อ “ฟ้าแตง” นั้น คำว่า “ฟ้า”
ในภาษาเขมรหมายถึง “พญา”
เป็นคำที่ใช้เรียกบุคคลชั้นสูงตั้งแต่ระดับขุนนางจนถึงเจ้าแผ่นดิน
จึงสันนิษฐานได้ว่าเธออาจจะเป็นธิดาของขุนนาง เจ้าเมือง หรือเจ้าแผ่นดิน
ส่วนเรื่องราวของลำน้ำใหญ่ที่เด็กหญิงสุรางคนาในขณะนั้นพูดถึงก็มีหลักฐาน
ว่าน่าจะมีอยู่จริง ถ้าลำน้ำใหญ่ในอดีตมีอยู่จริง
ในอดีตชาติฟ้าแตงและครอบครัวของเธอเคยล่องเรือผ่านบริเวณนี้จริง
แสดงว่าบริเวณหมู่บ้านตะคร้อในยุคสมัยนั้นน่าจะเคยถูกใช้เป็นเส้นทางติดต่อ
สัญจรกันทั้งทางน้ำและทางบก ระหว่างเมืองต่างๆในยุคสมัยนั้น
โดยเฉพาะการติดต่อไปมาหาสู่กันระหว่าง เมืองศรีเทพ กับ เมืองไพศาลี
ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านที่อยู่ในยุคสมัยเดียวกัน อยู่ในแนวระนาบเดียวกัน
และอยู่ห่างกันเพียง ๖๐ กิโลเมตรเท่านั้น
การเดินทาง
|
จากทางหลวงหมายเลข 3330
จากอำเภอตากฟ้า เลี้ยวขวาระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 27-28
ถนนบ้านหนองไผ่-บ้านโคกเจริญ ตรงหัวโค้งแรกจะมีทางตรงขึ้นไปประมาณ 1
กิโลเมตร เมืองเก่าเวสาลีอยู่ทางขวามือ
|
เมืองเวสาลี Ancient City We Sali
Reviewed by Supakorn.farm
on
กรกฎาคม 24, 2556
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: